วันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2568
รัฐบาล ใช้ “ศก.ทก.” เป็นศูนย์เฉพาะกิจรวมพลังทุกหน่วย ปรับแผน รับมือปัญหา ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมเดินหน้าทำงานแบบ “โต๊ะกลม” เสนอแนะ สนับสนุนหน่วยงาน เดินหน้าแก้ปัญหาชายแดนร่วมกัน
วันนี้ (วันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2568) เวลา 13.30 น. พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้จัดการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาที่ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล โดยศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา (ศก.ทก) ประกอบไปด้วย 1) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้อำนวยการศูนย์ 2) เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ (1) 3) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ (2) 4) ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ (3) โดยมีปลัดกระทรวงและหัวหน้าหน่วยงานหลายหน่วยเป็นกรรมการ อาทิ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฯลฯ ตลอดจนผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ อธิบดีกรมสารนิเทศ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เป็นต้น
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) ว่า พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รายงานผลการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรับทราบแนวทางการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงาน โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้เน้นย้ำในที่ประชุมว่าการบริหารสถานการณ์จำเป็นต้องหาข้อสรุปได้ภายในวันเดียวกัน เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที โดยมีเป้าหมายให้นำข้อสรุปไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดรูปแบบการประชุมทุกวันในเวลา 09.30 น. ยกเว้นวันอังคารที่มีภารกิจประชุมคณะรัฐมนตรี จึงจะปรับการประชุมเป็นในช่วงเวลา 13.30 น. ซึ่งภายหลังการประชุมจะมีการแถลงข่าว ที่ตึกนารีสโมสร เพื่ออำนวยความสะดวกแก่สื่อมวลชนในการติดตามข้อมูลข่าวสาร และจะมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ NBT
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้กำหนดกรอบการทำงานของศูนย์เฉพาะกิจฯ คือ "การบูรณาการและขับเคลื่อนงานระยะสั้น ติดตามและให้ข้อเสนอแนะและสนับสนุนงานระยะยาว” โดยระยะสั้นจะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ส่วนระยะยาว จะเป็นการบูรณาการ ขับเคลื่อน สนับสนุน การหารือภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยย้ำว่าศูนย์เฉพาะกิจฯ แห่งนี้ไม่ใช่ศูนย์อำนวยการหรือมีอำนาจสั่งการหน่วยงานต่าง ๆ แต่เป็นเวทีหารือแบบโต๊ะกลม มีหน้าที่ในการติดตาม เสนอแนะ และสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่าการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจฯ จะเป็นลักษณะ “หารือเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน”
ในส่วนของการเตรียมการด้านความมั่นคง สภาความมั่นคงแห่งชาติได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นบางประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี สำหรับการประชุม RBC ที่มีกำหนดจะจัดขึ้น ทางกัมพูชาได้แจ้งเลื่อนออกไปก่อน
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีการประสานพูดคุยในทุกระดับ ทั้งในพื้นที่และในระดับนโยบาย โดยศูนย์เฉพาะกิจฯ มีบทบาทในการให้ข้อเสนอแนะ ข้อพิจารณา และประสานการสื่อสารให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะในประเด็นปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมาเกิดความคลาดเคลื่อนจากข้อมูลที่ไม่ชัดเจนหรือขัดแย้งกัน ศูนย์เฉพาะกิจฯจะเร่งกำหนดแนวทางที่ชัดเจน และกำหนดเวลาเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สื่อมวลชนและสาธารณชนได้รับข้อมูลตรงกัน ลดความสับสนที่อาจส่งผลต่อความเข้าใจระหว่างสองประเทศ
ในส่วนของมาตรการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยต่อไปศูนย์เฉพาะกิจฯ จะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลกับภาคส่วนต่าง ๆ สำหรับกรณีที่มีปัญหาในการขนส่งสินค้าของไทยไปยังกัมพูชา เบื้องต้นได้มีการประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอรับซื้อผลผลิตจากประชาชนในพื้นที่ชายแดน และในอนาคตจะมีการขอความร่วมมือจากภาคส่วนอื่น ๆ เข้าร่วมรับซื้อ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน
ขอยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะไม่ใช้มาตรการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และจะหลีกเลี่ยงไม่ให้มาตรการใด ๆ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน หากมาตรการของกัมพูชาไม่มีผลกระทบต่อไทย ก็จะไม่มีการตอบโต้โดยไม่จำเป็น โดยเน้นพิจารณาเฉพาะสิ่งที่กระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีนโยบายตัดน้ำตัดไฟหรือดำเนินมาตรการรุนแรงต่อกัมพูชา ทั้งนี้ มีรายงานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับข่าวตัดน้ำตัดไฟในบางพื้นที่ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงการดำเนินการตามแผนปราบปรามขบวนการคอลเซนเตอร์ในเขตชายแดน และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด
ทั้งนี้รัฐบาลไทยยังคงยึดมั่นในการให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนทั้งสองประเทศเป็นสำคัญ