วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568
ผลักดันความร่วมมือ ด้านการเปลี่ยนผ่านสีเขียว สร้างโอกาสให้เศรษฐกิจไทย
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ได้เข้าพบหารือกับ Mr. Johannes ten Broeke, Head of Cabinet of Mr. Wopke Hoekstra, Commissioner for Climate, Net Zero and Clean Growth คณะกรรมาธิการยุโรปด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (DG CLIMA) ณ กรุงบรัสเซลส์ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการค้าและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป
ผู้แทนการค้าไทยได้นำเสนอความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของไทย ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ปูทางให้ไทยสามารถจัดตั้งระบบ ETS (Emission Trading System) และกลไก CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เกษตรกรและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศได้ในอนาคต
Mr. ten Broeke แสดงความยินดีต่อความก้าวหน้าของไทยและยินดีที่ไทยแสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับภูมิภาค และถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือลดโลกร้อนระหว่างไทยกับอียู และจะช่วยให้ธุรกิจไทยโดยเฉพาะ SMEs สามารถเตรียมความพร้อมต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ อียูพร้อมสนับสนุนแนวทางการพัฒนา CBAM และ ETS ของไทยอย่างเต็มที่ และเห็นว่า นโยบาย Clean Industrial Deal จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะการส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาดและ Carbon Farming ซึ่งประธานคณะกรรมาธิการยุโรปให้ความสำคัญมาก
นอกจากนี้ ผู้แทนการค้าไทยยังได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) ของภูมิภาค โดยฝ่ายอียูเห็นว่าไทยมีศักยภาพสูง ทั้งในด้านปริมาณวัตถุดิบจากภาคเกษตรและโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงสะอาดได้ ซึ่งหากไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรม SAF ได้สำเร็จ จะไม่เพียงเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรจากการขายผลผลิตที่นำไปแปรรูปเป็นพลังงานสะอาด แต่ยังช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินสีเขียวแห่งเอเชีย ส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้มากขึ้นในระยะยาว
ผู้แทนการค้าไทยได้เน้นย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเป็น “พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ” (Strategic and Trusted Partner) กับสหภาพยุโรป โดยมุ่งผลักดันความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู และการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานเศรษฐกิจ การค้า และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้หยิบยกประเด็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs อาจเผชิญจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ของอียู และเสนอให้มีความร่วมมือในการเสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) ให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ ซึ่งฝ่ายอียูพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ พร้อมเชิญชวนไทยเข้าร่วมข้อริเริ่มใหม่ “Clean Trade and Investment Partnerships” ของอียู ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2568 เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในประเทศกำลังพัฒนา
ในด้านความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคี Mr. Johannes ten Broeke แสดงความชื่นชมบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทย และส่งเสริมให้ประเทศไทยแสดงบทบาทเชิงรุกในเวที COP30 ที่จะจัดขึ้นในห้วงปลายปีนี้ที่ประเทศบราซิล โดยเฉพาะการยืนยันจุดยืนด้านการลดคาร์บอนอย่างชัดเจน เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นร่วมกันในการปฏิบัติตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีความสำคัญในบริบทความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน โดยผู้แทนการค้าไทยได้ยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของสหภาพยุโรป และสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีค่านิยมร่วมกันระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปได้เป็นอย่างดี