วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2568
ผู้แทนการค้าไทยหารือ IMF แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในยุคสงครามการค้า
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเดินทางมาเยือนไทยตามภารกิจประเมินความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยตามกรอบ Article IV คณะผู้แทนนำโดย Ms. Corinne Delechat, Assistant Director ประจำกองเอเชียและแปซิฟิก และ Mission Chief for Thailand คนปัจจุบัน พร้อมด้วย Mr. Peter Breuer, Mission Chief ท่านใหม่ (อยู่ระหว่างการส่งมอบภารกิจ) และคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเศรษฐกิจของ IMF
การหารือเน้นการแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการค้าและการลงทุนของไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้าโลก ตลอดจนความคืบหน้าในการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและยกระดับเศรษฐกิจไทยในระยะกลางและยาว
ในระยะสั้น นายวีระพงษ์กล่าวถึงความสำคัญในการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ก่อนระยะเวลาผ่อนปรน 90 วันจะสิ้นสุดลงในช่วงต้นเดือนกรกฏาคม ในเดือนพฤษภาคม รัฐบาลไทยได้ส่งข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มความสมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ผ่านการเพิ่มสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เป็นที่ต้องการของธุรกิจไทยและช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไทยในอนาคต เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์การเจรจาอย่างใกล้ชิด โดยต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอ เนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ สามารถส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและประชาชนไทย
นอกจากการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ นายวีระพงษ์ยังได้ย้ำถึงความจำเป็นในการปรับโครงสร้าง เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและมีความคืบหน้าสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้
ด้านแรกคือ การยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีสีเขียว พร้อมทั้งเร่งส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันมีการลงทุนสะสมแล้วกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระจายอยู่ในกว่า 20 รัฐ และสร้างงานให้ชาวอเมริกันไม่น้อยกว่า 10,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหภาพยุโรป เพื่อขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการไทยและสนับสนุนให้ธุรกิจไทยผนึกเข้ากับกระบวนการผลิตคุณภาพของโลก
ด้านที่สอง คือ การดำเนินการตามแผนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของไทยจากประเทศรายได้ระดับกลางขั้นสูงไปเป็นประเทศรายได้สูงในอนาคต ขณะนี้รัฐบาลไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนแผนงานตามกรอบแผนปฏิบัติการเพื่อการเข้าเป็นสมาชิก OECD (Accession Roadmap) โดยคาดว่าจะสามารถยื่น Initial Memorandum (IM) ได้ภายในสิ้นปีนี้
ด้านที่สาม คือ การส่งเสริมการค้าระดับภูมิภาค นายวีระพงษ์ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการใช้ความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างชาญฉลาด (Smart Regionalism) ผ่านกลไกความร่วมมือด้านดิจิทัลและห่วงโซ่อุปทาน อาทิ ข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) รวมถึงกรอบความร่วมมือด้านเซมิคอนดักเตอร์ของอาเซียน (ASEAN Framework for Integrated Semiconductor Supply Chain: AFISS) ซึ่งมุ่งให้ประเทศสมาชิกสนับสนุนจุดแข็งของแต่ละประเทศเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ร่วมกัน ทั้งนี้ คณะผู้แทนฯ จาก IMF แสดงความสนใจต่อบทบาทเชิงรุกของไทยในประเด็นดังกล่าว เพราะจะมีนัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภูมิภาคและไทยในอนาคต
ด้านสุดท้าย คือ ความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยคาดว่าพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะสามารถประกาศใช้ได้ภายในกลางปี 2569 สาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของ IMF ในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate-Resilient Development) ผ่านการจัดตั้งกองทุนสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการส่งเสริมกลไกตลาดและการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน
การหารือครั้งนี้เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงลึกถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทย พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนโยบายการค้า การลงทุน และแนวทางการตอบสนองต่อความท้าทายเชิงโครงสร้างในบริบทเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยไทยยืนยันความพร้อมในการให้ความร่วมมือกับ IMF อย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนการประเมินและเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันในประเด็นเศรษฐกิจสำคัญ