เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นาย Tan Sri Dato Soh Thian Lai ประธานสหพันธ์การผลิตแห่งมาเลเซีย (Federation of Malaysian Manufacturers) ได้เข้าพบหารือ นายอุเมสนัส ปานเดย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและ
ความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ
 
นายอุเมสนัส เปิดเผยว่า ตนได้ขอบคุณนาย Tan Sri Dato Soh Thian Lai ที่ได้นำนักธุรกิจมาเลเซียจำนวนมากเดินทางมาเยือนไทย ซึ่งเป็นการหารือที่ต่อเนื่องมาจากการเดินทางเยือนมาเลเซียของตน เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา  โดยเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรผลักดันให้มีความเชื่อมโยงภายในอาเซียนเพื่อขยายห่วงโซ่อุปทาน และอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น เพื่อเพิ่มการค้าภายในอาเซียน
 
“ผมเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรตั้งเขตปลอดภาษี หรือ Free Trade Zone ไทย-มาเลเซีย ในพื้นที่ในภาคใต้ของไทย โดยอาจเริ่มจากเล็กๆ ก่อน ทั้งนี้ ในส่วนของไทยอาจเริ่มจากอุตสาหกรรมอาหาร และอาหารแปรรูป ส่วนมาเลเซียอาจเริ่มจากอุตสาหกรรมยางพารา และหลังจากนั้น อาจขยายไปอุตสาหกรรมที่ใหญ่ขึ้น เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ โดยมาเลเซียอาจเติมเต็มได้ในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาง”
 
นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังเห็นว่า การจัดตั้ง ASEAN Business Green Lane จะเป็นการช่วยให้การเคลื่อนย้ายนักธุรกิจระหว่างไทยกับมาเลเซียเป็นไปอย่างง่ายขึ้น และเห็นด้วยว่า การจัดตั้งคณะกรรมการด้านการค้าชายแดน (Cross Border Task Force) ภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee) ไทย-มาเลเซีย จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนระหว่างกันได้
 
ทั้งนี้ ในปี 2567 มาเลเซียเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในโลก และอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) การค้ารวมระหว่างไทยกับมาเลเซียมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ 24,230.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.6 ต่อปี โดยในปี 2567 การค้ารวมระหว่างไทยกับมาเลเซียมีมูลค่า 26,055.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากปีก่อนหน้าร้อยละ 3.88 ไทยส่งออกไปมาเลเซียมูลค่า 12,335.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 3.09 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าบางรายการเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ไทยนำเข้าจากมาเลเซียมูลค่า13,720.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.6 โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าบางรายการเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันดิบ
เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น