วันนี้ ( 18  มิถุนายน 2568 ) เวลา 09.00 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้ติดตามสถานการณ์การบริโภคน้ำมันพืชทั่วโลก จากฐานข้อมูลด้านการตลาดและอุตสาหกรรม Statista พบว่า ในช่วงปี 2558–2568 เติบโตเฉลี่ย 2.48% ต่อปี โดยน้ำมันดอกทานตะวัน เพิ่ม 3.04% น้ำมันปาล์ม เพิ่ม 2.79% น้ำมันถั่วเหลือง เพิ่ม 2.63% น้ำมันปาล์มเมล็ดใน เพิ่ม 2.23% น้ำมันเรพซีด (คาโนล่า) เพิ่ม 2.01% น้ำมันถั่วลิสง เพิ่ม 1.39% น้ำมันมะพร้าว เพิ่ม 1.28% น้ำมันเมล็ดฝ้าย เพิ่ม 1.24% และน้ำมันมะกอก เพิ่ม 0.21%  ทั้งนี้ จากแนวโน้มการบริโภคน้ำมันพืชที่เพิ่มขึ้น เปิดโอกาสให้พืชน้ำมันของไทยที่มีศักยภาพในการเพาะปลูกหรือแปรรูป เช่น ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง รำข้าว และมะพร้าว มีโอกาสการค้าในตลาดโลกเพิ่มขึ้น

นายอนุกูล กล่าวว่า จากการศึกษาศักยภาพด้านการผลิตและการค้าน้ำมันพืชของไทย พบว่า น้ำมันปาล์ม ในปี 2567 ไทยมีผลผลิตปาล์มน้ำมันเป็นอันดับที่ 3 ของโลก การส่งออกน้ำมันปาล์มของโลก มีมูลค่า 41,212.29 เพิ่ม 3.17% ตลาดส่งออกสำคัญ เช่น อินเดีย เมียนมา และจีน มีมูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์ม อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 40.85% น้ำมันถั่วเหลือง ไทยมีผลผลิตถั่วเหลืองไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ ทั้งยังส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองเป็นมูลค่า 284.07 ล้านเหรียญสหรัฐ ลด 7.65% มีตลาดส่งออกสำคัญ เช่น เวียดนาม อินเดีย เกาหลีใต้ มีมูลค่าการส่งออกน้ำมันถั่วเหลือง อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 22.72% น้ำมันรำข้าว ไทยมีผลผลิตข้าวเปลือกเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ส่งออกน้ำมันรำข้าว มูลค่า 64.95 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3.87% ตลาดส่งออกสำคัญ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มีมูลค่าการส่งออกน้ำมันรำข้าว อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 3.98%
น้ำมันมะพร้าว ปี 2567 ไทยมีผลผลิตมะพร้าวเป็นอันดับที่ 10 ของโลก การส่งออกน้ำมันมะพร้าวของโลก มีมูลค่า 4,268.31 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น รัสเซีย และฮ่องกง มูลค่าการส่งออกน้ำมันมะพร้าวของไทยหดตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราหดตัวเฉลี่ยต่อปี 12.74%

“ไทยมีจุดแข็งด้านภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชหลากชนิด และสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันได้หลายประเภท มีการผลิตที่มีคุณภาพ มาตรฐาน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการผลิตพืชน้ำมันให้สอดคล้องตามความต้องการน้ำมันพืชของโลก ทั้งกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (Mass Market) และตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่น กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มมังสวิรัติ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรไทย สร้างพืชเศรษฐกิจใหม่ ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมน้ำมันพืชไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายอนุกูล ระบุ