ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัย และพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานกาแฟอย่างยั่งยืน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 36 หน่วยงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ว่า กาแฟ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งปัจจุบันกาแฟไทยกำลังเผชิญหน้ากับทั้งโอกาสมหาศาลและความท้าทายที่ซับซ้อนในการก้าวสู่ความยั่งยืนด้านอาหาร ดังนั้น การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ศ.ดร.นฤมล ยังกล่าวถึงภาพรวมของการตลาดกาแฟไทยว่า ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/63 เป็น 93,551 ตัน ในปี 2565/66 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.06 ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงแนวโน้มการเติบโตโดยเฉพาะกลุ่มกาแฟสดและกาแฟพิเศษ สะท้อนถึงรสนิยมของผู้บริโภคที่ซับซ้อนและต้องการประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการ แต่ยังเป็นกลไกขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านแนวทางการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า กาแฟไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เช่น การผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ซึ่งทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นอย่างมาก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพ ความผันผวนของราคา ต้นทุนการผลิตที่สูง ปัญหาด้านคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ และการขาดแคลนแรงงาน จึงเป็นโจทย์สำคัญในการส่งเสริมกาแฟไทยให้สามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และคว้าโอกาสในการเติบโตสู่ความยั่งยืนด้านอาหารอย่างแท้จริง โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพ การสร้างมูลค่าเพิ่ม การขยายตลาด การนำนวัตกรรมมาใช้ และการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งตลอดห่วงโซ่อุปทาน
"การลงนาม MOU ในวันนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคต ตลอดจนห่วงโซ่อุปทานอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งจากการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่ผ่านมาของกระทรวงเกษตรฯ ที่ได้ประกาศให้กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญและเป็นเกษตรมูลค่าสูง ที่จะช่วยสร้างรายได้และยกระดับให้เกษตรกร ซึ่งเป็นการลดการนำเข้าและทดแทนการปลูกพืชชนิดอื่นที่มีปริมาณมากและผลผลิตล้นตลาด ให้หันมาปลูกปลูกพืชที่มีโอกาสอย่างแท้จริง โดยการปรับเปลี่ยนมาเพาะปลูกพืชที่ตลาดมีความต้องการและสามารถพัฒนาต่อยอดได้ จึงหวังว่าจุดเริ่มต้นในวันนี้จะสามารถเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรให้หันมาปลูกกาแฟให้มากขึ้น รวมถึงส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ต่อยอดด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม และตรงตามความต้องการของตลาด“ศ.ดร.นฤมล กล่าว
นอกจากนี้ ยังต้องถือเอาแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ในการปฏิบัติตามกฎหมาย EUDR ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังว่าทุกโครงการของกระทรวงเกษตรฯ จะต้องทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มากขึ้น ได้รับความเป็นธรรม และมีส่วนแบ่งรายได้ที่เหมาะสมให้กับพี่น้องเกษตรกรด้วย
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า การลงนามในครั้งนี้มีหน่วยงานร่วมมือจำนวนมาก เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร (เจ้าภาพ) กรมวิชาการเกษตร ส.ป.ก. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน สวทช. และอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงภาคเอกชนรายใหญ่ เช่น CP ALL เนสท์เล่(ไทย) กาแฟพันธุ์ไทย เป็นต้น รวมถึงหอการค้าไทย สมาคมกาแฟไทย สมาคมกาแฟและชาไทย สมาคมบาริสต้าไทย GIZ สถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพะเยา รวมถึงองค์กรเกษตรกร เช่น วิสาหกิจชุมชนกาแฟโรบัสต้าพะเยา เป็นต้น ความร่วมมือครั้งนี้มีสาระสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ การส่งเสริมการวิจัยและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาระบบการตลาดที่เป็นธรรม การรับซื้อผลผลิตในราคายุติธรรม ลดการเผาในพื้นที่เกษตร ส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการกาแฟไทย ที่เราไม่ได้มองแค่ผลผลิต แต่กำลังสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เกษตรกรรายย่อยโดยเฉพาะในพื้นที่สูงจะสามารถเข้าถึงโอกาส เข้าถึงตลาด และเป็นเจ้าของอนาคตของตนเองได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ภายใต้กรอบ MOU จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อกำกับติดตามผลการดำเนินงาน พร้อมตั้งเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรกว่า 12,000 ครัวเรือน เข้าสู่ระบบกาแฟคุณภาพภายใน 3 ปี โดยนำร่องในพื้นที่ 1,000 ไร่ พร้อมเปิดโอกาสให้เกษตรกรและยุวเกษตรกร เข้าสู่เวทีการแข่งขันในระดับสากล พร้อมส่งเสริมการวิจัย เทคโนโลยี ตลาดที่โปร่งใส และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยมีกิจกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อน เช่น การวิจัยและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่ ศึกษาและจัดทำฐานข้อมูล DNA Fingerprinting เพื่อสนับสนุนการอนุกรมวิธานพันธุ์กาแฟไทยอย่างเป็นระบบ ช่วยระบุอัตลักษณ์ของพันธุ์กาแฟแต่ละชนิด เสริมความมั่นคงของทรัพยากรพันธุกรรมพื้นถิ่น และสร้างโอกาสการแข่งขันในระดับสากล รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบควบคุม กำจัดโรคและแมลงศัตรูกาแฟ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกาแฟคุณภาพแก่เกษตรกร ส่งเสริมระบบ e-learning และส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Peer Learning โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรรุ่นใหม่และยุวเกษตรกร แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ ระหว่างกัน เช่น การจัดเวิร์กชอปในชุมชน ฟาร์มต้นแบบ หรือกลุ่มเครือข่ายความรู้ เพื่อยกระดับทักษะและสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ปฏิบัติจริง การส่งเสริมตลาดที่เป็นธรรม ระบบรับซื้อโปร่งใส และมี Traceability พัฒนา EUDR Mapping และพัฒนาระบบ Digital Trace Platform ที่ตรวจสอบได้แบบ real-time การสร้างโอกาสแข่งขันที่เท่าเทียม สอดคล้องมาตรฐานสากล เช่น EUDR เชื่อมโยงผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศผ่าน platform กลาง การรวมกลไกระดับนโยบาย-ชุมชน-พื้นที่ Contract Farming และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน จัดทำสัญญาเกษตรพันธสัญญาอย่างเป็นธรรม ตรวจสอบได้ บูรณาการแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน เช่น ลดการเผาในที่โล่ง เพื่อลดมลพิษและรักษาคุณภาพดิน การใช้ Biochar นำวัสดุชีวมวลไปผ่านกระบวนการเผาอย่างไม่สมบูรณ์เพื่อใช้ปรับปรุงดิน เพิ่มคาร์บอนในระบบ รวมถึงการปลูกพืชร่วม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลงปลูก ช่วยควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ และเพิ่มรายได้ทางเลือกแก่เกษตรกร ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเกษตรกาแฟยั่งยืนในชุมชน และการพัฒนาเยาวชนและการประกวดกาแฟ บ่มเพาะยุวเกษตรกร และเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีทักษะเชิงลึกความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดัน “กาแฟไทย” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรม และมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอย่างแท้จริง