วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568
“เอกนัฏ” เปิดหลักสูตร “ผู้นำอุตสาหกรรมสีเขียว SGIL รุ่นที่ 1 ของ การนิคมฯ พร้อมขับเคลื่อนภาคการผลิตไทยเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตเติบโตแบบยั่งยืน”
วันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร “Sustainable & Green Industrial Leadership (SGIL)” รุ่นที่ 1 จัดโดย สถาบันวิทยาการอุตสาหกรรม ภายใต้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่ง ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะผู้บริหาร และผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 67 คนเข้าร่วมหลักสูตรดังกล่าวเข้าร่วม ณ ห้องประชุม A21-1 อาคาร กนอ. สำนักงานใหญ่
รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากทัศนคติที่มุ่งเน้นแต่ของถูก ซึ่งสร้างผลกระทบในวงกว้าง มีการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและไร้คุณภาพ เช่น พลาสติก, เศษเหล็ก, และขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศและสร้างมลพิษร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันยังเกิด "อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ" และการใช้ "ทุนนอมินี" เป็นช่องทางให้ทุนต่างชาติเข้ามายึดครองภาคบริการและภาคการผลิต แม้ตัวเลขการลงทุน (FDI) จะดูเป็นที่น่าพอใจ แต่เม็ดเงินกลับไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างแท้จริง โดยภาคการผลิตจำนวนมากยังคงพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ใช้แรงงานต่างด้าว แล้วเพียงปั๊มตราสินค้าไทย ผลิตสินค้าเถื่อน โดยไม่ได้สร้างนวัตกรรมหรือคุณค่าที่แท้จริง การมุ่งลดต้นทุนนำไปสู่สินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เช่น เหล็กคุณภาพต่ำในงานก่อสร้าง, สายไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน, และอะไหล่รถยนต์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยทิศทางในการพัฒนาต้องปรับเปลี่ยนจากการแข่งขันที่ราคา มาเป็นการแข่งขันที่คุณภาพและความรับผิดชอบ อาทิ การจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ และผลักดันการแข่งขันด้วยคุณภาพของสินค้า ไม่ใช่แค่ของถูกไร้คุณภาพ และไม่ปลอดภัย การผลิต "ของที่ถูกต้อง" มีรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม กระจายโอกาสและรายได้ให้สังคม และยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าไทยให้ตอบรับกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ จะต้องคัดสรรนักลงทุนที่ดี โดยใช้ความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ดึงดูดนักลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมใช้วัตถุดิบของประเทศและแรงงานไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ขณะเดียวกันให้มองมาตรการจากภายนอก เช่น กติกาการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อม ให้เป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไทย
“สิ่งที่อยากฝากไว้กับผู้เข้าร่วมหลักสูตรฯ คือ การนำความรู้และวิสัยทัศน์นี้ไปปรับใช้ เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญคือ "ไม่แข่งกันทำของถูก แต่แข่งกันทำของที่ถูกต้อง" ทั้งถูกต้องต่อกฎระเบียบ ถูกต้องต่อผู้บริโภค และถูกต้องต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันแห่งอนาคต และคืนคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมกลับสู่คนไทยอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าว
ปลัดฯ ณัฐพล กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทั้งจากปัญหาภายในที่โรงงานบางแห่งลักลอบก่อมลพิษหรือหลบเลี่ยงภาษีเพื่อลดต้นทุน และภัยคุกคามภายนอกจากผลพวงของสงครามการค้าที่นำไปสู่ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนบ่อนทำลายผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างจริงจัง เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงฯ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้ นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้นำการขับเคลื่อนกลไกการทำงานเชิงรุกผ่านระบบ “แจ้งอุต” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้พิสูจน์ผลงานเชิงประจักษ์แล้วด้วยการแก้ไขเรื่องร้องเรียนของประชาชนหลายร้อยเรื่องสำเร็จภายในกรอบเวลา 14 วัน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงจุดยืนที่ชัดเจนของกระทรวงฯ ที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และ “เอาจริงกับผู้ที่ฝ่าฝืน” พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่งปฏิบัติตามกฎระเบียบและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือกันผลักดันนโยบายนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ หลักสูตร “Sustainable & Green Industrial Leadership (SGIL) รุ่นที่ 1” เป็นหลักสูตรเพื่อพัฒนาผู้บริหารให้สามารถนำพาองค์กรปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเนื้อหามุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมในประเด็นสำคัญโดยตรง ได้แก่ การบรรลุเป้าหมายถึงระดับชาติ คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608 รวมทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG การรับมือกับกติกาการค้าใหม่ โดยเฉพาะมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของยุโรป (CBAM) และกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการอบรมครั้งนี้ มีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นบุคลากรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ เข้าร่วมจำนวน 67 คน เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการที่ยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ผ่านการเรียนรู้ที่หลากหลายทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เช่น การทำเวิร์กชอป และการศึกษาดูงานในสถานประกอบการชั้นนำ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยได้อย่างแท้จริง