วันนี้ (30 พฤษภาคม 2568) เวลา 12.10 น. ณ บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 2/2568 ว่าที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้า โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน
นายสรวงศ์ กล่าวว่า จากนี้ ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงโลซีซั่นอย่างเต็มตัว นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายหลายด้าน โดยเน้นย้ำเรื่องของการอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ เกี่ยวข้องกับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยว ซึ่งแม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวขณะนี้มีจำนวนลดลง แต่รายได้จากภาคการท่องเที่ยวยังคงมีตัวเลขที่สูง โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวทางไกล (Long-haul) ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดยุโรป และ กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามความคืบหน้าในประเด็นเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตามข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยว ได้แก่ โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” และการดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนกลับมา และการส่งเสริมให้ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
นายสรวงศ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการหารือแนวทางความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัด F1ในประเทศไทยในอนาคต ว่านายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนโมนาโก ตามคำเชิญของ F1 ภายหลังจากที่ไทยได้มีการทำ MOU ไปเบื้องต้น เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัด F1 ในประเทศไทย ตนเองได้ไปติดตามงาน และได้หารือกับภาคเอกชนที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของ F1 ซึ่งมีความสนใจที่จะสนับสนุนการจัดการแข่งขันในประเทศไทย ทั้งนี้ จะเตรียมนำเสนอผลการศึกษาการจัด F1 ในประเทศไทย รวมถึงกรอบวงเงินที่ใช้เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพุธหน้านี้
ทางด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า จากการประชุมติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 2/2568 ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ที่เดินทางท่องเที่ยวไปยังทุกพื้นที่ของประเทศ จะต้องมีความปลอดภัย ทั้งนี้ ต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านความสะอาดและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ห้องน้ำ ที่จอดรถ รวมถึงการนำเทคโนโลยี ความปลอดภัยสมัยใหม่ เช่น ระบบ AI มาใช้ ในการดูแลนักท่องเที่ยว โดยตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจท้องที่ และหน่วยงานอื่น ๆ จะต้องประสานบูรณาการความร่วมมือกันในการดูแลนักท่องเที่ยวในทุก ๆ จุดอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการดูแลรักษาความสะอาดในแหล่งท่องเที่ยว หลังได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนว่า หลายพื้นที่ยังขาดการปรับปรุง เช่น จุดนั่งพักรอที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม ซึ่งการท่องเที่ยวต้องสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ทุกช่วงวัย จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงและยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกให้ดียิ่งขึ้น
“นายกรัฐมนตรีกำชับว่า แม้ในปีนี้จะมีตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่มีตัวเลขรายได้มูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดยุโรป เพราะฉะนั้น ในช่วงระยะเวลาต่อจากนี้ 6 เดือนหลังนับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงใดก็ตามจะมีกิจกรรมที่หลากหลายรองรับถือเป็นไฮซีซั่นตลอดทั้งปี ไม่มีโลซีซั่น” นายจิรายุ ระบุ
