รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือร่วมกับ รองผู้ว่าการมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีนเผยมณฑลหูหนานเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษา เป็นโอกาสพัฒนาศักยภาพ ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีนในรูปแบบโรงพยาบาลพี่-น้อง วิจัยและพัฒนายา แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรและสถาบันทางการแพทย์ ช่วยพัฒนาความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
          นพ.พงศธร  พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการหารือร่วมกับ นายเจียง ตี้เฟย รองผู้ว่าการมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับนพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ให้การต้อนรับคณะจากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานด้านสาธารณสุขในสาขาต่างๆ อาทิ การดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ การดูแลเด็ก การดำเนินงานด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน โดยเฉพาะการนำสมุนไพรมาใช้ทางการแพทย์และผลิตยาการพัฒนาศักยภาพนักระบาดวิทยาผ่าน Field Epidemiology Training Program หรือFETP ของกรมควบคุมโรค ซึ่งที่ผ่านมามีแพทย์ชาวจีนเคยเรียนหลักสูตรดังกล่าว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะมีความร่วมมือกันในด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนจีน ในรูปแบบโรงพยาบาลพี่-น้อง (Sister hospitals) และการวิจัยและพัฒนายาแผนจีนและยาแผนไทย ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรและสถาบันทางการแพทย์ รวมทั้งการศึกษาดูงาน ซึ่งมณฑลหูหนานมีประชากร 73 ล้านคน อยู่อันดับ 8 ของประเทศ มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ปี 2567 อยู่ที่ 5.3 ล้านหยวน มีชื่อเสียงด้านการแพทย์แผนจีนและแหล่งเพาะปลูกพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย
           นพ.พงศธรกล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสที่ปี พ.ศ. 2568 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ครบ 50 ปี ซึ่งการที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนจีน       เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีกำหนดจะเดินทางเยือนจีน          ในเดือนมิถุนายน 2568 นี้ เพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจด้านสาธารณสุขระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะพัฒนาระบบบริการสุขภาพของทั้งสองฝ่ายให้เข้มแข็ง รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น