วันพุธที่ 9 เมษายน 2568
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเรือนจําศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ณ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร
ในวันพุธที่ 9 เมษายน 2568 เวลา 10.30 น. พันตํารวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดเรือนจํานําร่องในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี โดยมี นางสาวนันทรัศมิ์ เทพดลไชย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางปรีดา วิสาโรจน์ รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณะกรรมการราชทัณฑ์ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ ณ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร
โดยภายในงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ Exclusive Talk เรื่อง จัดตั้งเรือนจําศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) อีกทั้งมีการจัด Mini Talk เรื่องอิสรภาพที่หายไปก่อนการตัดสินสิทธิและโอกาสในการพิสูจน์ตนเองของชีวิตหลังกําแพง พร้อมกับหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร คุณอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช (เบนซ์ เรซซิ่ง) คุณพัฒนพล มินทะขิน (ดีเจแมน) คุณนพนันท์ ทองเคลือ (เอิร์น วัดใหญ่) เพื่อร่วมกันแบ่งปันความรู้ในประเด็นดังกล่าว
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเปิดเรือนจําศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ในครั้งนี้ว่า ประเทศที่เจริญไม่ได้วัดที่ความยิ่งใหญ่ของประเทศ แต่วัดจากคุณภาพของคน ถ้าวัดจำนวนผู้กระทำความผิดในประเทศไทย จากจำนวนประชากร 100,000 คน จะพบว่าประเทศไทยมีผู้ต้องหามากที่สุดในเอเชียแปซิฟิกรองจากประเทศอเมริกา อย่างไรก็ตามอดีตถือเป็นบทเรียน แต่ปัจจุบันและอนาคตคือความรับผิดชอบ คนทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาด โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขความผิดพลาด อย่างวันนี้ผมได้มีโอกาสมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผมจะใช้โอกาสในการพัฒนางานให้ได้มากที่สุด เช่นกันกับคนที่อยู่หลังกำแพง ผู้ต้องราชทัณฑ์ ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการความสงสารแต่ต้องการโอกาส เพราะโอกาสคือสิทธิที่เขาควรได้รับในการปรับตัว ซึ่งนอกจากต้องปรับที่ผู้ต้องขังแล้วเรือนจำเองต้องเปลี่ยนด้วย ไม่ใช่เป็นแค่สถานที่ฟื้นฟูเพื่อพัฒนาพฤตินิสัยอย่างเดียว แต่ต้องเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ที่สร้างความปลอดภัย ความเจริญ และความมั่นคงได้ในระดับประเทศ ผมจึงขอให้สถานที่แห่งนี้เป็นเรือนจำนำร่องในการให้สิทธิ ให้ศักดิ์ศรีกับผู้ต้องขังระหว่าง ให้เขาได้มีสิทธิในการพบทนาย สิทธิในการรักษาพยาบาล และสิทธิที่พึงได้รับ สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คณะกรรมการราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำ และข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกท่าน ที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันให้เกิดศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ขึ้นมา และต้องเร่งขับเคลื่อนให้เกิดเรือนจำระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ให้ได้ในทุกแห่ง เพื่อให้สิทธิและโอกาสในการพิสูจน์ตนเอง และเกิดความเหมาะสมกับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
สำหรับการเปิดเรือนจําศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) กระทรวงยุติธรรม ได้มีนโยบายให้กรมราชทัณฑ์ ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีให้สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักการปฏิบัติของสากลเพื่อยกระดับของการปฏิบัติต่อบุคคลที่ตามกฎหมายแล้วถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้สอดคล้องกับหลักสากลอันจะส่งผลต่อการฟื้นฟูหลักนิติธรรมของประเทศ สําหรับเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร ถือเป็นเรือนจําต้นแบบในการแยกการปฏิบัติของผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีออกจากผู้ต้องขังเด็ดขาด ซึ่งนอกจากจะมีการแยกพื้นที่กันอย่างเด็ดขาดแล้ว ยังจะมีการนําโปรแกรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมมาใช้ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี โดยต้องคํานึงถึงความต้องการของผู้ต้องขังในเรื่องของการให้ความรู้ทางกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีการส่งเสริมความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงการจัดสวัสดิการต่าง ๆ โดยกําหนดให้มีการจัดตั้งเรือนจําศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ในเรือนจําที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดเดียวกัน โดยให้มี 1 เรือนจํา ทําหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีส่วนเรือนจําอื่นในจังหวัดให้ทําหน้าที่ควบคุมนักโทษขังเด็ดขาด ประกอบด้วย 8 กลุ่มจังหวัด ดังนี้ กลุ่มจังหวัดลําปาง กลุ่มจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มจังหวัดขอนแก่น กลุ่มจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มจังหวัดสงขลา กลุ่มจังหวัดปทุมธานี และกลุ่มจังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้กําหนดเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อควบคุมผู้ต้องขังคดีทั่วไป และคดียาเสพติดให้โทษ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นสอบสวน - ไต่สวน พิจารณา และควบคุมผู้ต้องขังเด็ดขาดที่มีกําหนดโทษเหลือไม่เกิน 5 ปีไม่เกินร้อยละ 20 ในอัตราส่วน 1.6 ตารางเมตรต่อผู้ต้องขัง 1 คน เพื่อทํางานสุขาภิบาลต่าง ๆ หรือภารกิจอื่นในเรือนจํา ในส่วนของการปฏิบัตินั้นได้จัดทําแนวทางการปฏิบัติขึ้นใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ประกอบด้วย การปรับปรุงชุดของผู้ต้องขังสําหรับการไปศาล การให้ความรู้ทางกฎหมาย รวมถึงการพบปะกับบุคคลภายนอก โดยเฉพาะทนายความ การเยี่ยมญาติใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นต้น