วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2567
กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ส. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ วางแผนปฏิบัติการปี ๒๕๖๘ เร่งรัดอนุบัญญัติยาเสพติด พร้อมลุย ๕ อำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี สกัดยาเสพติดทะลักจากชายแดน เป้าหมายการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล
ในวันจันทร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๓๐ น. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (คณะกรรมการ ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ส. ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุมฯ ในการนี้ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดการประชุม โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างเร่งด่วนเนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล หน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หากสามารถวางแผนให้เป็นรูปธรรมได้ก็จะเป็นการดีมาก รวมไปถึงเห็นด้วยในแผนต่าง ๆ และอยากให้ทุกหน่วยงานพร้อมปรับเปลี่ยนแผนได้ตามสถานการณ์ของผู้ค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงในสังคมอยู่ตลอดเวลา
ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีข้อเสนอแนะโดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า อยากให้รวมเรื่องของผู้ป่วยจิตเวชที่เป็นอันตรายในสังคมเข้าไปอยู่ในแผนด้วย และให้มีระบบติดตามช่วยเหลือเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ โดยอาจจะให้ใส่กำไล EM ในช่วงระยะเวลาสามเดือนแรกก่อนจะได้ติดตามพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ได้ โดยขอให้บูรณาการร่วมกันกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงยุติธรรม โดยอาจต้องมีตัวชี้วัดในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เจ้าหน้าที่ส่วนภูมิภาค ผู้นำท้องถิ่น หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการติดตามดูแลเฝ้าระวังลูกหลานและคนในชุมชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการแต่งตั้งผู้นำหรือผู้ดูแลชุมชนควรคำนึงถึงผู้ที่มีความรู้ในเรื่องของยาเสพติดด้วย รวมไปถึงสถิติในปัจจุบันผู้ที่ใช้ยาเสพติดคือ ผู้ที่มีการศึกษาต่ำ กระทรวงศึกษาธิการ ควรมีการควบคุมป้องกันปรับปรุงระบบการศึกษาให้เด็กอยู่ในระบบให้นานที่สุดจนถึงอายุ ๑๘ ปี หรือ จนจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๖ให้ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้สถิติการกระทำความผิดในเรื่องของยาเสพติดที่เข้ามาอยู่ในระบบของกระทรวงยุติธรรมลดน้อยลงไปด้วย
โดยที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าเรื่องการดำเนินงานจัดทำอนุบัญญัติรองรับประมวลกฎหมายยาเสพติด ตามที่ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๕๒/๒๕๖๗ เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กับ เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นรองประธาน และได้รับทราบ เรื่องการทำลายยาเสพติดของกลาง โดยผลการทำลายยาเสพติดของกลางจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงาน ป.ป.ส. รวม ๔ ครั้ง คิดเป็นน้ำหนักรวมประมาณ ๘๗ ตัน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบในหลักการ จำนวน ๔ เรื่อง เพื่อให้หน่วยงานได้กำหนดทิศทางและนำไปปฏิบัติ ดังนี้
๑) (ร่าง) แผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
๒) (ร่าง) แผนปฏิบัติการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐)
๓) (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
๔) การพิจารณากำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามมาตรา ๕ (๑๐) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กำหนดพื้นที่ ๕ อำเภอ ของจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ อำเภอเมือง อำเภอไทรโยค และอำเภอด่านมะขามเตี้ย เป็นพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยให้กองทัพภาคที่ ๑ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าว ภายใต้หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันตก (นบ.ยส.๑๗) โดยมีแม่ทัพภาคที่ ๑ เป็นผู้บัญชาการ (ผบ.นบ.ยส.๑๗) และ ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส. ภาค ๗ เป็นฝ่ายเลขานุการ
โดยการประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ด้วยการวางแผนเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดปัญหายาเสพติดในประเทศอย่างยั่งยืน รัฐบาลย้ำว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายสำคัญที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและจะเดินหน้ายกระดับการปราบปรามยาเสพติดให้เข้มข้นยิ่งขึ้น พร้อมขยายผลการดำเนินงานไปทั่วประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มมาตรการควบคุมพื้นที่ชายแดน เพื่อสกัดกั้นการนำเข้ายาเสพติด
ข่าวทำเนียบรัฐบาล
ข่าวกระทรวง
วาระงาน