วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2567
ผู้แทนการค้าไทย “ชัย วัชรงค์” หารือเอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ เสริมสร้างความร่วมมือการค้า-ลงทุน
ขยายความร่วมมือการค้าชายแดน และอุตสาหกรรมฮาลาล มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางฮาลาลอาเซียน
วันนี้ (วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2567) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ดาตุก โจจี แซมูเอล (H.E. Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายชัย วัชรงค์ ผู้แทนการค้าไทย เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
ผู้แทนการค้าไทยยินดีและขอบคุณเอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของไทยมาโดยตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำเเหน่งกว่า 6 ปี ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ พร้อมยินดีที่ไทยและมาเลเซียมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะมูลค่าการค้าในชายแดนของทั้งสองประเทศ ซึ่งมาเลเซียถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ และมีความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนกันในหลากหลายมิติ และยังเห็นถึงศักยภาพของทั้งสองประเทศที่สามารถขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ให้มากขึ้นได้
เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ เชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพที่จะร่วมกันเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนในอาเซียนได้ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาการค้าชายแดน การลงทุนใน EEC การยกระดับอุตสาหกรรม EV ซึ่งไทยมีศักยภาพ มาเลเซียพร้อมที่จะหารือเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจร่วมกัน
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ ร่วมกัน ทั้งในด้าน ปิโตรเลียม อุตสาหกรรม EV อุตสาหกรรมฮาลาล การค้าชายแดน ตลอดจนการทำฟาร์มปศุสัตว์ โดยเฉพาะด้านการส่งออก เนื้อวัว เนื้อไก่ และเนื้อแกะ ไปยังมาเลเซีย นอกจากนี้ ผู้แทนการค้าไทยได้นำเสนอถึงศักยภาพของผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่ออย่างมากของทั้งไทยและมาเลเซีย และไทยมีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ด้วย ซึ่งเอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ให้ความสนใจ พร้อมพิจารณานำแนวทางไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
โอกาสนี้ ผู้แทนการค้าไทยยังเน้นย้ำถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งไทยมีฐานการผลิตสินค้าฮาลาลที่มีคุณภาพและหลากหลาย โดยทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือเพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางฮาลาลของอาเซียน (ASEAN Halal Hub) ได้ ซึ่งเอกอัครราชทูตมาเลเซียเห็นพ้อง โดยแนวทางของไทยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลมาเลเซียที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food security) เพื่อสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนร่วมกันในภูมิภาค