วันนี้ (14 สิงหาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รับทราบประเด็นที่มีข้อห่วงกังวลต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ของไทย ยืนยันนายกรัฐมนตรีสนับสนุนผู้ประกอบการชิ้นส่วนในประเทศ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตยานยนต์สมัยใหม่ โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รับลูกออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 5 มาตรการ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการตั้งฐานผลิตในประเทศ รักษาการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก พร้อมส่งต่อผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การผลิตยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาคการขนส่งในปัจจุบันสร้างมลพิษ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ รัฐบาลคำนึงถึงความสำคัญของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จึงเดินหน้าตามเป้าผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี 2030 พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินนโยบายในการส่งเสริมการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในประเทศไทย สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ การผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โดย BOI ได้ออก 5 มาตรการ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า และ ชิ้นส่วนในไทย ได้แก่ 1 มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ (ประกาศ BOI ที่ 2/2566 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2566) เพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อนำระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์ นำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสำหรับการผลิตรถยนต์ ทั้งแบบ ICE HEV และ PHEV ซึ่งตามมาตรการนี้ มีค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกายื่นขอรับการส่งเสริมแล้ว 4 โครงการ
2. มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ (ประกาศ BOI ที่ 11/2567 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2567) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศมีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ฝึกอบรมบุคลากร นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อยกระดับมาตรฐานและการแข่งขัน ขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น ชิ้นส่วน EV อิเล็กทรอนิกส์ อากาศยาน เครื่องมือแพทย์ เครื่องจักรและอุปกรณ์
3. มาตรการส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและต่างชาติในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ (ผ่านบอร์ด BOI เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567) โดยมีเงื่อนไขว่า นิติบุคคลไทยต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เพื่อสนับสนุนให้ผู้ผลิตไทย มีโอกาสร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ยกระดับเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
4. มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์แบบไฮบริด (HEV) (ผ่านบอร์ด EV เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ ICE ไปสู่รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพิ่มโอกาสเป็นฐานการผลิต HEV ระดับโลก โดยมาตรการนี้มีเงื่อนไขสำคัญ 4 ด้าน คือ การลดการปล่อยคาร์บอน การลงทุนเพิ่มเติม การใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ และการติดตั้งระบบความปลอดภัยของรถยนต์
5. มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ โดยกรมสรรพสามิตได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 ต้องมีการใช้แบตเตอรี่หรือชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตในประเทศ เช่น มอเตอร์ขับเคลื่อน ระบบ BMS DCU อินเวอร์เตอร์ เกียร์ทดรอบ หรือคอมเพรสเซอร์ระบบปรับอากาศ ขณะที่กรมศุลกากรและกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ EV ที่ตั้งในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี จะต้องผ่านกระบวนการผลิตที่สำคัญ เช่น การตรวจสอบคุณภาพ และการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ โดยต้องใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ผลิตในไทยและอาเซียนไม่น้อยกว่า 40% ของราคาหน้าโรงงาน
นอกจากนี้ BOI กำหนดเงื่อนไขสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จะต้องผลิตหรือจัดหาแบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญจากผู้ผลิตในประเทศ และมีแผนพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่มีหุ้นไทยข้างมาก (Local Supplier) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วน
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้ง ICE และ EV ต้องการให้การเปลี่ยนผ่านที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นอย่าง Smooth ที่สุด และไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการกลุ่มใดเลย รวมทั้ง ตระหนักดีว่าทุกกลุ่มมีส่วนช่วยในเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ นายกฯ เชื่อว่าการส่งเสริมการช่วยอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนเปลี่ยนผ่าน จะต่อยอดจุดแข็งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอยู่ ไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น ICE HEV PHEV และ BEV รักษาการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ทุกประเภทเพื่อการส่งออกในระยะยาว สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน” นายชัย กล่าว