พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ
ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้อำนวยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ขอรายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ของศูนย์ฯ ดังนี้
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นับว่าสำคัญที่สุดต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน โดยเน้นมาตรการ "เว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing และรณรงค์ให้ทุกคน "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" รวมทั้งปฏิบัติตนตามคำแนะนำของหมอ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับความเร่งด่วนในการสนับสนุนหน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างทันกาล และทั่วถึงในโรงพยาบาลทุกพื้นที่ ผมถือว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ต้องมีระบบการกระจายที่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนไม่ได้ ซึ่งผมจะติดตามด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมหมอและพยาบาลที่เปรียบเสมือน "นักรบที่อยู่แนวหน้า" คอยต่อสู้และสกัดกั้นข้าศึกที่มองไม่เห็นด้วยความเสียสละและอดทน ผมในฐานะ "แม่ทัพ" จะไม่ยอมให้กำลังหลักของเราต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลน ไม่ได้อย่างเด็ดขาด และต้องมีขวัญ - กำลังใจที่เข้มแข็ง อยู่เสมอ เพื่อมีพลังเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ ให้ได้
ผมขอยืนยันว่า เรามี "ยา" ที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ และมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจลุกลามได้ ในอนาคต นอกจากนั้น เรายังมีความพร้อมในเรื่อง "เตียง" สำหรับผู้ป่วย โดยสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่า "ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด" ทุกคน จะมีเตียงและยา ในการดูแลรักษาอาการป่วยตามมาตรฐานสากล ทุกประการ นอกจากนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ รัฐบาลถือว่าเป็น "ผู้ป่วยฉุกเฉิน" ดังนั้น จะมี 3 กองทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้
ด้านป้องกันและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการรักษาความมั่นคง เรายึดหลัก "สุขภาพนำเสรีภาพ" โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ จำกัดการเดินทาง การเคลื่อนย้ายคน และจำกัดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ในพื้นที่เสี่ยง การแพร่ระบาดต่างๆ โดยแต่ละพื้นที่จะต้องออกมาตรการที่เข้มงวด สอดคล้องตามสถานการณ์ และคำแนะนำทางการแพทย์ ปัจจุบัน บางจังหวัดได้ยกระดับมาตรการทางการปกครอง เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดร้านค้า และเวลาออกจากบ้านเพิ่มเติมแล้ว เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดให้ได้ ได้แก่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งจะต้องเอาจริงเอาจัง เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายเหมือนปกติบ้าง แต่เราทุกคนต้อง "ปรับตัว...เพื่อความอยู่รอด" ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เราจึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดและลดการสัญจรของพี่น้องประชาชน ผมจะประกาศข้อกำหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือ "เคอร์ฟิว" ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ทั่วราชอาณาจักร โดยเว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็นหรือผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็นเพื่ออุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เชื้อเพลิง รวมถึงการเดินทางของประชาชน เพื่อเข้าและออก เวรทำงาน หรือการเดินทางมา หรือไปท่าอากาศยาน ทั้งนี้ ให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้นๆ โดยจะเริ่มในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน เวลา 22.00 น. ซึ่งต้องขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกและไม่ต้องกักตุนสินค้า เพราะท่านยังสามารถออกมาซื้อข้าวของในเวลากลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่อง "ระยะห่างทางสังคม" ด้วยนะครับ
ด้านการควบคุมสินค้า ผมได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า โดยขอย้ำว่า ผมจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกักตุน หรือฉวยโอกาส หรือแสวงหาผลประโยชน์ ซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกัน ในยามนี้ ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนหาต้นตอของปัญหาตลอดสายการผลิต ตั้งแต่ต้นทาง - กลางทาง - ปลายทาง โดยสามารถจับกุมและเอาผิดผู้กระทำความผิดไปแล้วหลายราย ซึ่งจะต้องรับโทษอย่างรุนแรง ทั้งนี้ การกักตุนสินค้ามีอัตราโทษสูง จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ "สายด่วน บก.ปคบ.1135"
สำหรับด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจรัฐบาลได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระ และบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม และผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ อาทิ เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับลูกจ้างรายวัน - อาชีพอิสระ -แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าและการใช้น้ำ รวมทั้งลดค่าน้ำ - ค่าไฟ3 เดือน สำหรับทุกครัวเรือน ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เงินผ่อนบ้าน - ผ่อนรถ ขยายเวลาชำระตั๋วจำนำ และลดอัตราขั้นต่ำ การจ่ายหนี้บัตรเครดิต สำหรับประชาชนทั่วไป รวมทั้งแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วย ที่ลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 1% และขยายเวลาให้ 3 เดือน ส่วนผู้ประกอบการและ SME รัฐบาลก็จะช่วยคืนสภาพคล่อง – ลดภาระค่าใช้จ่าย-บริหารหนี้เดิมไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการด้านภาษี และการเงินอีกหลายมาตรการ เพื่อทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย มั่นใจได้ว่า "เราไม่ทิ้งกัน"
ด้านการต่างประเทศ ศบค.ได้ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อดำเนินมาตรการ การเดินทางเข้า-ออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ อย่างเข้มงวด ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เติมเข้ามาอีก ตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้ว มีเพียงชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด เช่น คณะทูต หรือผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย หรือลูกเรือเท่านั้นที่เดินทางเข้ามาได้ สำหรับคนไทยในต่างแดน เราก็จะไม่ทอดทิ้งลูกหลาน ญาติพี่น้อง ของเราเหล่านั้น เราได้หาทางแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลก จะได้รับการดูแล หากต้องการกลับเมืองไทยก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง การกักตัว และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ ต้องขอความร่วมมือให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 เมษายน เพื่อรักษาสุขภาพทั้งคนไทยในประเทศและท่านที่จะเดินทางกลับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดระเบียบเตรียมการให้เหมาะสม หากมีความจำเป็นขอให้ไปพบเจ้าหน้าที่สถานทูตหรือสถานกงสุลโดยทันที
สิ่งสำคัญอีกประการ คือ ด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤตเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจและผู้ปฏิบัติงานมีความชัดเจน ไม่สับสน หรือสร้างความขัดแย้ง ศบค.จัดให้มีระบบการสื่อสารที่เป็น "เอกภาพ" ไปในทิศทางเดียวกัน หรือ Single Voice โดยจะมีการแถลงข่าวที่ถ่ายทอดสด ไปทั่วประเทศในทุกช่องทางเป็นประจำ "ทุกวัน" หลังการประชุมในช่วงเช้าโดยโฆษกศูนย์และผู้รับผิดชอบโดยตรง "เท่านั้น" งดเว้น และหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมายหรือเกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ของศูนย์ ผมขอให้สื่อมวลชนทุกสำนัก รวมถึงสื่อโซเชียล ใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร โดยขอให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์นี้ เท่านั้น ห้ามการสื่อสารที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความเข้าใจผิดหรือบิดเบือนข้อมูล รวมถึงผู้ที่สร้างข่าวปลอม หรือ Fake News และการส่งต่อข่าวปลอม ทั้งที่ไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่มีผลต่อความมั่นคง ก็จะมีโทษตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างหนัก ดังนั้น เราจะต้องงดการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือไม่มั่นใจ เราควรส่งต่อข้อมูลที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ อาทิ ตัวอย่างการปฏิบัติตนตามนโยบายของภาครัฐ กิจกรรมจิตอาสา เป็นต้น
ความประทับใจท่ามกลางวิกฤตนี้ ผมและรัฐบาล ได้ระดมผู้มีความสามารถคนเก่งจิตอาสา จากวงการต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี การสื่อสารและภาคธุรกิจอื่นๆ มาร่วมหารือ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอย่างรอบด้าน ผมขอขอบคุณ "จิตอาสา" ทุกท่านที่ไม่นิ่งดูดาย รวมพลังความรัก-ความสามัคคี ร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมบริจาคเงิน สิ่งของ อาหาร หรือการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หลายคนเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น การเขียนข้อความ ทำคลิป หรือทำป้ายให้กำลังใจซึ่งกันและกัน "น้ำใจไทย" เช่นนี้เอง จะช่วยให้ประเทศไทยของเรา รอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้
ผลการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ข้างต้นอย่างเคร่งครัด จะทำให้สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในระดับจำกัดที่ยังสามารถควบคุม จำกัดการแพร่ระบาดของโรคได้ ไม่สูงถึงระดับของประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั้งนี้ เป้าหมายร่วมกันของเราคือ การขจัดโรคภัยและเชื้อร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด และทุกคนปลอดภัย ดังนั้น เราจะต้องไม่ประมาท เราจะต้องร่วมมือกัน เราจะต้องไม่ปล่อยให้มี "ผู้ป่วย - ผู้ติดเชื้อรายใหม่"และทำให้ตัวเลขลดลงจนเป็น "ศูนย์" ให้ได้ ในเร็ววัน เราจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างไม่ลดละ ต้องมีการบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด อย่างต่อเนื่องเหมาะสม หากจำเป็น ก็จะต้องยกระดับใน "บางพื้นที่" ตามเหตุผลทางการแพทย์ ผมขอย้ำว่า ขอให้ประชาชนทุกคน ร่วมมือปฏิบัติตนตามมาตรการแยกตัวอยู่บ้านเพื่อลดภาระของทีมแพทย์และพยาบาลที่เสียสละต่อสู้กันมานานหลายเดือน หาก "แนวหน้าเข้มแข็ง" และ "แนวหลังเข้มงวด" ประเทศไทยก็จะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ ผมขอแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน และทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ทั่วประเทศ ที่อดทน เสียสละทุ่มเทแรงกาย-แรงใจในการดูแล ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้วยความเสี่ยงภัย และความยากลำบาก ขอให้ท่านรับรู้ว่า เจ้าหน้าที่ พลเรือน ตำรวจ ทหาร เป็นบุคคลสำคัญในใจผมและคนไทยทุกคน ผมขอให้ทุกคนมั่นใจว่า ผมจะทำทุกทาง เพื่อที่จะนำพาประเทศของเรา ก้าวข้ามเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปให้ได้ อย่างมีสวัสดิภาพ อย่างพร้อมเพรียงกัน ขอให้ทุกคน...สู้ไปด้วยกัน นะครับ ประเทศไทยต้องชนะ
........................................