วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2562
กรมการค้าภายใน ชี้แจงมาตรการประกันรายได้
อังคารที่ 26 พฤศจิกายน นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรได้รับรายได้ ให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกแต่ละชนิดของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บวกด้วยค่าขนส่งไปจำหน่ายและกำไรที่เหมาะสมซึ่งควรจะได้รับ เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยง ให้เกษตรกร ซึ่งเป็นราคาความชื้นไม่เกิน 15% ณ หน้าโรงสี ตามคุณภาพมาตรฐาน เพื่อใช้กับกับเกษตรกร ทั่วประเทศ โดยเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยไม่คำนึ่งว่าจะปลูกเพื่อจำหน่าย บริโภค หรือทำพันธุ์ ผลผลิตเสียหายหรือไม่ เก็บเกี่ยวจริงเมื่อใด ได้ผลผลิตมากน้อยเพียงใด ก็จะได้สิทธิ์ตามที่ขึ้นทะเบียน แต่ไม่เกินที่โครงการฯ กำหนด
การได้รับสิทธิของเกษตรกร กำหนดให้เกษตรกรได้รับสิทธิ์ในช่วงที่แจ้งวันเก็บเกี่ยวตามทะเบียนเกษตรกร การคำนวณเกณฑ์กลางอ้างอิงใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 15 วันทำการ จากแหล่งต่าง ดังนี้ (1) ราคาขายส่งข้าวสารและผลิตภัณฑ์เฉลี่ยของกรมการค้าภายในและสมาคมโรงสีข้าวไทยคำนวณเป็นราคาข้าวเปลือก (2) ราคาข้าวเปลือกจากการสำรวจของกรมการค้าภายใน (3) ราคาข้าวเปลือกของสมาคมโรงสีข้าวไทย เช่น ในการประกาศราคางวดที่ 3 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ได้รับสิทธิ์ คือ ผู้ที่แจ้งเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 1 – 15 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยย้อนหลัง 15 วันทำการ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าราคาประกันรายได้
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นต้นมาราคาข้าวเปลือกหอมมะลิมีราคาอ่อนตัวลง เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตออกมากประกอบกับในหลายพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง อุทกภัย และโรคไหม้คอรวง โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่าง ส่งผลให้จำหน่ายได้ในราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานทั่วไป ข้าวในแต่ละแปลงสุกไม่เสมอกัน มีความชื้นสูงต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการอบแห้งมากกว่าปกติ
ดังนั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการคู่ขนานกับการประกันรายได้ โดยเร่งให้มีการดูดซับผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เป้าหมาย 6.5 ล้านตัน และจูงใจให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวไว้ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากช่วงเดือน พฤศจิกายน 2562 – กุมภาพันธ์ 2563 โดยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มีมติเห็นชอบกรอบการขอใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 2,572.5 ล้านบาท ดังนี้ (1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก โดยให้สินเชื่อเกษตรกร และสถาบันเกษตรกร เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก โดยให้ค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บตันละ 1,500 บาท วงเงิน 1,500 ล้านบาท กรณีเข้าร่วมผ่านสถาบันเกษตรกร เกษตรกรได้รับ 500 บาท สถาบันเกษตรกรได้รับ 1,000 บาท (2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกเพื่อจำหน่าย และ/หรือ เพื่อการแปรรูป โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับชดเชยดอกเบี้ยในร้อยละ 3 ต่อปี วงเงิน 562.5 ล้านบาท เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน (3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก เป้าหมายให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ที่เข้าร่วมโครงการฯ รับซื้อข้าวเปลือกของเกษตรกรแล้วเก็บ เป็น ระยะเวลา 2–6 เดือน โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 วงเงิน 510 ล้านบาท เป้าหมาย 4 ล้านตัน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้พยายาม ทุกวิถีทางเพื่อเร่งรัดให้มีการส่งออกเพิ่มทั้งในรูปรัฐต่อรัฐ (G to G) และเอกชนกับเอกชนที่จะช่วยพยุง ราคาข้าวได้ระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ ในส่วนการดูแลให้ความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวเปลือก กรมการค้าภายในได้มอบหมายให้สำนักงานชั่งตวงวัดและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเข้มงวดกวดขันในการกำกับดูแลตรวจสอบการชั่ง เครื่องวัดความชื้น การหักน้ำหนักสิ่งเจือปน และการปิดป้ายแสดงราคา ณ จุดรับซื้อของผู้ประกอบการทุกราย โดยได้มีการสุ่มตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิต ออกสู่ตลาด หากเกษตรกรพบว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง
ข่าวทำเนียบรัฐบาล
- การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35
ข่าวกระทรวง
วีดิทัศน์รายการ/คลังภาพ
วาระงาน