15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานฯ ชี้แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 (Regional risks for doing business report 2019)ว่าเป็นผลการสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ด้านความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจใน 10 ปีข้างหน้าเพื่อหารือในเวที ดาวอส ในเดือน ม.ค. 2563ซึ่งภาครัฐได้มีมาตรการดำเนินการรองรับมาอย่างต่อเนื่อง
สภาเศรษฐกิจโลก หรือ WEF มีการจัดทำรายงาน Regional risks for doing business report โดยใช้วิธีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2562 โดยใช้คำถามว่า “From the following list, check the five global risks that you believe to be of most concern for doing business in your country within the next 10 years” สำหรับแบบสอบถามภาษาไทยที่ดำเนินการในประเทศไทยโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (WEF Partner Institute) ใช้ข้อความว่า “จากรายการด้านล่างนี้ โปรดเลือกความเสี่ยงระดับโลกมา 5 รายการ ที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดในการทำธุรกิจในประเทศของคุณใน 10 ปีข้างหน้า” โดยให้เลือกจากรายการความเสี่ยง 30 ประการ ทั่วโลกมีผู้ตอบแบบสอบถาม 12,000 กว่าคน ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 102 คน จึงอาจไม่สะท้อนความจริงในภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน โดยความเสี่ยงที่นักธุรกิจไทยแสดงความกังวลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) Asset bubble 2) Failure of national governance 3) Cyberattacks 4) Manmade environmental catastrophes และ 5) Profound social instability ในห้วงเวลาของการสำรวจแบบสอบถาม ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อการตอบแบบสอบถามโดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ
ความเสี่ยงในประเด็น Asset bubble นั้น ในห้วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงและราคาของอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ภาคธุรกิจมีความกังวล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงที่เข้มงวดรองรับอยู่แล้ว ประเด็น Failure of national governance เป็นตัวชี้วัดที่มีนิยามกว้าง และในบริบทของรายงานนี้ หมายถึงระบบธรรมาภิบาล การทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารจัดการเชิงสถาบันมากกว่าการเจาะจงไปที่การบริหารงานของรัฐบาลในภาพรวม ปัจจุบันมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วและมีการเร่งขับเคลื่อนนโยบายอย่างเต็มที่ สำหรับประเด็น Cyberattacks ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ส่วนประเด็น Manmade environmental catastrophes เนื่องจากประชาชนรับทราบและมีความตระหนักและรับรู้ในเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีความรุนแรงในช่วงต้นปีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการรองรับแล้ว เช่น เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคุณภาพรถขนส่ง ส่วนปัญหาขยะพลาสติก สังคมได้มีการตื่นตัวในการลดการใช้พลาสติกมากขึ้น นอกจากนี้ ประเด็น Profound social instability การรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อาจทำให้ประชาชนมีการตีความไปในหลายด้าน มีความหลากหลายทางความคิด เกิดการถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับภาคประชาชน รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยการประกันราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม เป็นต้น และมีมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือในด้านค่าครองชีพ นายดนุชา ฯ กล่าวสรุปว่า ความเสี่ยงทั้ง 30 รายการเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศและนักธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่มีมิติความรุนแรงแตกต่างกันไปตามบริบทของการพัฒนาของแต่ละประเทศ ภาครัฐเองได้ตระหนักถึงความสำคัญพร้อมรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ขณะที่ นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประเด็นความเสี่ยงที่ WEF ได้จากการสำรวจความเห็นของภาคธุรกิจนั้น ถือเป็นประเด็นที่เตือนล่วงหน้า (early warning) ให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวทางรองรับและป้องกัน ซึ่งในส่วนของไทยได้มีมาตรการออกมาล่วงหน้าแล้ว และอีกบางด้านก็กำลังดำเนินการอยู่ ถือว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้านในการปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงเหล่านี้ ทั้งความเข้มแข็งของเศรษฐกิจมหภาค ความสามารถและศักยภาพในการปรับตัวของผู้ส่งออกและผู้ประกอบการของไทย แนวนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรและSME การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และนโยบายที่จะเดินหน้าพัฒนาภาคบริการใหม่ๆ ที่จะเป็นกลไกสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นให้คนไทยและเศรษฐกิจไทย เช่น ดิจิทัล ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และ Wellness นอกจากนี้ ดังนั้น ประเด็นความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจของไทย ถือว่ารัฐบาลรับมือไว้แล้ว จึงไม่น่ามีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตต่อไปได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน